วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

อาหารสมุนไพร

เมี่ยงคำ

เมี่ยงคำเป็นอาหารที่คนภาคกลางนิยมรับประทานเป็นอาหารว่าง ในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่ต้นชะพลูออกใบและยอดอ่อนมากที่สุดและรสชาติดีแต่จริงๆ แล้วเมี่ยงคำสามารถรับประทานเป็นอาหารว่างได้ตลอดทั้งปี แล้วแต่ว่าจะมุ่งรับประทานเพื่อความอร่อยหรือจะรับประทานเพื่อการดูแลสุขภาพ (การปรับสมดุลธาตุในร่างกาย)

 วัตุดิบในการทำเมี่ยงคำ
      -  ใบชะพลู หรือใบทองหลาง
      -  มะพร้าวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ คั่ว
     -   หอมแดงหั่นเป็นชิ้นลูกเต๋า
      -  ขิงหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
      -  มะนาวหั่นทั้งเปลือกเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า
       -  พริกขี้หนูซอย
       -  ถั่วลิสงคั่ว
       -  กุ้งแห้ง (เลือกที่เป็นชนิดจืด)
น้ำราดเมี่ยงคำ
  1. น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
  2. กะปิ (เผาเพื่อเพิ่มความหอม)
  3. น้ำปลาอย่างดี 1 ถ้วย
  4. ข่าหั่นละอียด 1 ช้อนโต๊ะ
  5. ตะไคร้หั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
  6. กุ้งแห้งโขลกละเอียด 1/4 ถ้วย
ขั้นตอนการทำ
  1. คั่วมะพร้าว ในกระทะโดยใช้ไฟอ่อน จนได้มะพร้าวคั่วที่กรอบหอม
  2. ทำน้ำราดเมี่ยงคำ โดยเริ่มจาก ตำโขลก ตะไคร้ ข่า หอมแดงเข้า และกะปิเข้าด้วยกันให้ละเอียด เคี่ยวจนน้ำราดเมี่ยงคำเริ่มเหนียว ยกลงแล้วใส่กุ้งแห้งคั่ว
  3. เคี่ยวน้ำตาลปี๊บด้วยไฟปานกลาง และเติมน้ำปลาลงไป
  4. ใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไป คนให้เข้ากัน
  5. อาจเสริ์ฟเป็นคำๆ โดย ห่อเครื่องต่างๆ ด้วยใบชะพลู หรือใบทองหลาง แล้วเสียบไม้จิ้มฟันเป็นคำไว้ แล้วตักน้ำราดเมี่ยงคำใส่ถ้วยแยกไว้ต่างหาก
วิธีการจัดรับประทานให้จัดใบชะพลูหรือใบทองหลางใส่จานวางเครื่องปรุงอย่างละน้อยลงบนใบชะพลู หรือใบทองหลางที่จัดเรียงไว้ตักน้ำเมี่ยงหยอดห่อเป็นคำๆ รับประทาน

สรรพคุณทางยา
  1. มะพร้าว รสมันหวาน บำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูก
  2. ถั่วลิสง รสมัน บำรุงเส้นเอ็น บำรุงธาตุดิน
  3. หอมแดง รสเผ็ดร้อน แก้ไข้เพื่อเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ไข้หวัด
  4. ขิง รสหวาน เผ็ดร้อน แก้จุดเสียด แก้เสมหะ บำรุงธาตุ แก้คลื่นเหียนอาเจียน
  5. มะนาว เปลือกผล รสขม ช่วยขับลม น้ำมะนาวรสเปรี้ยว ขับเสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
  6. พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
  7. ใบชะพลู รสเผ็ดเล็กน้อย แก้ธาตุพิการ ขับลม
  8. ใบทองหลาง ขับพยาธิไส้เดือน แก้ตาแดง ตาแฉะ ตับพิษ
  9. ข่า รสเผ็ดปร่าและร้อน ช่วยขับลม ขับพิษโลหิตร้ายในมดลูก ขับลมในลำไส้
  10. ตะไคร้ แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร และขับเหงื่อ
ประโยชน์ทางอาหาร

เมี่ยงคำเป็นอาหาร ช่วยบำรุงธาตุ ปรับธาตุชั้นหนึ่งในเครื่องเมียงคำที่ประกอบด้วยใบชะพลู มะนาว บำรุงธาตุน้ำ พริก หอม บำรุงธาตุลม ขิงและเปลือกมะนาว บำรุงธาตุไฟ มะพร้าว ถั่วลิสง น้ำตาล กุ้งแห้ง บำรุงธาตุดิน เมื่อทำเมี่ยงคำเป็นอาหารว่าง ผู้รับประทานสามารถปรุงตามสัดส่วนที่สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนของตนได้ หรือปรุงสัดส่วนตามอาการที่ไม่สบายได้อย่างเหมาะสม

 คุณค่าทางโภชนาการ

เมี่ยงคำ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 659 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
  • โปรตีน 114 กรัม
  • ไขมัน 88.6 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 370.7 กรัม
  • กาก 9.6 กรัม
  • ใยอาหาร 13.4 กรัม
  • เถ้า 6.4 กรัม
  • แคลเซียม 1032 มิลลิกรัม
  • ฟอสฟอรัส 1679.1 มิลลิกรัม
  • เหล็ก 51.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 4973.7 IU
  • วิตามินบีหนึ่ง 140.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินบีสอง 1.7 มิลลิกรัม
  • ไนอาซิน 35.2 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 186.4 มิลลิกรัม

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การทำน้ำยาต่างๆ

วิธีทำน้ำยาล้างจาน
อุปกรณ์และวิธีการทำน้ำยาล้างจาน
1.N70หรือหัวเชื้อ   1 กิโลกรัม
2.F24หรือสารขจัดไขมัน  ครึ่งกิโลกรัม ถ้าไม่มีไม่ต้องก็ได้ครับ
3.เกลือ ประมาณ ครึ่งกิโลกรัม ถึง1กิโลกรัม หรือ บางที่เรียกว่าผงข้น
4.น้ำผลไม้รสเปรี้ยว (ที่โรงเรียนทำใช้มะกรูดต้มกับน้ำ)ประมาณ 4 ลิตร
5.น้ำสะอาด ประมาณ7 ลิตร อันนี้แล้วแต่ความข้นครับหากยังข้นก็เติมได้อีกแต่ถ้ามากไปก็ใช้ไม่ได้บางที่ใช้น้ำขี้เถ้าผสมด้วย แต่ไม่มีก้ไม่ต้องครับ
วิธีทำ
เทN70กับF24ลงในภาชนะกวนไปในทิศทางเดียวกันให้เข้ากันจนเป็นครีมขาวๆจากนั้นเติมน้ำผลไม้ลงไปกวนไปเรื่อยๆหากไม่ข้นก็ค่อยๆเติมเกลือทีละน้อยสังเกตุดูหากข้นมากก็เติมน้ำลงไปสลับกันจนน้ำหมดทิ้งใว้ 1 คืนจนฟองยุบแล้วตักใส่ภาชนะใว้ใช้ ต้นทุนประมาณ 140 บาท ครับ ส่วนปริมาณที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้น้ำไปเท่าใด
N70คือสารลดแรงตึงผิวประจุลบ มีหน้าที่เป็นสารทำความสะอาดต่างๆมีชื่อเต็มๆว่าTexapon N70 มีชื่อทางเคมีว่า Sodium Laurylether Sulfate N70(โชเดียมลอริวอีเทอร์ซัลเฟตN70)มีชื่อย่อๆว่าSLES
ส่วนF24คือสารขจัดไขมันหรือLAS(linearalkylbenZene Sulfonate)
 จะใช้น้ำมะกรูดหรือมะนาวหมักก็ได้ครับใส่ 4 ลิตร
*วิธีทำน้ำมะกรูดหรือมะนาวหมัก
หั่นมะกรูดหรือมะนาว 4 กิโลกรัม เป็นสองซีก ใส่น้ำตาล 1 กิโลครึ่ง น้ำ10 ลิตร หมัก 30วัน กรองเอาแต่น้ำมาใช้


อย่าคนแรงเพราะจะทำให้มีฟองเกิดมาก

การทำน้ำยาล้างห้องน้ำ

น้ำยาล้างห้องน้ำคิดว่าทุกบ้านคงต้องมีไว้ใช้ เคยคิดมั๊ยครับว่าปีหนึ่งๆ ต้องใช้เงินซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำเท่าไหร่
แล้วมีความสุขกับการใช้น้ำยาล้างน้ำหรือเปล่า ไหนจะกลิ่น ไหนจะการกัดกร่อน คงไม่ต้องอธิบายมากนะครับใครที่ใช้อยู่ก็คงรู้ดี

จริงๆ แล้วแค่ในครัวเรือนเราก็สามารถทำน้ำยางล้างห้องน้ำไว้ใช้เองได้ ผมเองไม่ได้ซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำมาใช้เป็นเวลาปีกว่าแล้ว
ตอนแรกผมใช้น้ำหมักไล่แมลงที่หมักจากสารเร่ง พด. 7 ของกรมพัฒนาที่ดินก็ใช้ได้ดี ต่อมาได้มะกรูดมาจำนวนหนึ่งเอามาหมักทำน้ำยาล้างห้องน้ำก็ใช้ได้ดียิ่งกว่า

สิ่งที่ต้องเตรียม

1.นำผลไม้รสเปรี้ยว มะกรูด หรือ มะนาว หรือมะเฟือง หรือสับปะรด หรือหลายอย่างรวมกัน 3 กิโลกรัม
2.น้ำตาลแดง 1 กิโลกรัม
3.น้ำ 10 ลิตร
วิธีการทำ
หมักไว้ 3 เดือน ในภาชนะมีฝาปิดโดยเหลือที่ว่าง 1/4 ของภาชนะ
ก็สามารถนำมาล้างห้องน้ำได้แล้ว ซึ่งผมใช้แบบนี้อยู่



ของผมใช้กากน้ำตาลเลยออกมาเป็นแบบนี้


ยังมีสูตรที่ดีกว่านี้จากหนังสือกสิกรรมธรรมชาติ ฉบับที่ 12/2550 หน้า 5
คือการนำหมักมาผสมกับน้ำขี้เถ้า

ให้ใช้ขี้เถ้า 1 กิโลกรัม น้ำ 5 ลิตร หมัก 15-30 วัน ยิ่งนานยิ่งดี

นำน้ำหมัก 1 ลิตร ผสมกับน้ำขี้เถ้า 20 ลิตร
แค่นี้ก็จะได้น้ำยาล้างห้องน้ำใช้ไปอีกนาน

ข้อดีของน้ำยาล้างห้องน้ำทำเอง

?กลิ่นหอม
?ไม่กัดกร่อน
?มีจุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย
?ที่สำคัญประหยัดเงิน
ลองดูนะครับ การล้างห้องน้ำไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
การพึ่งตนเองแบบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของความพอเพียงแล้วล่ะครับ

การทำน้ำยาเอนกประสงค์ (ซักผ้า ล้างจาน)ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้

จากการทำน้ำยาเอนกประสงค์นี้ อาศัยภูมิปัญญาจากโบราณ แต่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสามารถใช้งานได้เทียบเท่าน้ำยาล้างจานชั้นนำ ปราศจากเชื้อโรค ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ไม่มีฟองทำให้ประหยัดน้ำและล้างออกง่าย โดยมีขั้นตอนและวิธีการทำดังนี้

คุณชัยวัฒน์   วันสวาท อยู่บ้านเลขที่ 47/5 ม. 6 ต.ธารเกษตม อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ได้มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการทำน้ำส้มควันไม้และน้ำยาเอนกประสงค์โดยการนำสูตรมาจากการได้มีโอกาสไปอบรมโครงการด้านการเกษตรต่าง ๆ ทำให้เกิดความคิดที่จะนำสูตรมาทำเองและแพร่เผยให้แก่คนอืนได้รับประโยชน์

 คุณชัยวัฒน์   วันสวาทอยู่บ้านเลขที่47/5.6.ธารเกษตม.พระพุทธบาท.สระบุรีได้มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการทำน้ำส้มควันไม้และน้ำยาเอนกประสงค์โดยการนำสูตรมาจากการได้มีโอกาสไปอบรมโครงการด้านการเกษตรต่างทำให้เกิดความคิดที่จะนำสูตรมาทำเองและแพร่เผยให้แก่คนอืนได้รับประโยชน์ ได้ถ่ายทอดสำหรับวิธีและขั้นตอนการทำน้ำยาเอนกประสงค์ไว้ใช้ในครัวเรือน สามารถเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ซึ่งมีวิธีการทำดังนี้

คุณสมบัติ ใช้ซักผ้า ล้างจาน ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดเงิน สร้างรายได้ ลดค่าใช้จ่าย

การทำน้ำยาเอนกประสงค์(ซักผ้า ล้างจาน)

วิธีการทำน้ำยาเอนกประสงค์(ซักผ้าล้างจาน)
ประมาณ13ลิตร
วัสดุอุปกรณ์
1.สารตั้งต้นทำให้เกิดฟอง(N 70) 1กิโลกรัม
2.ถังสีก้นเรียบ1ใบ
3.ไม้พาย
4.เกลือแกง( 1กก.ผสมน้ำสะอาด3ลิตร)
5.น้ำสะอาด7ลิตร
6.น้ำหมักข้างต้น3ลิตร
7.หัวน้ำหอม(สำหรับน้ำยาซักผ้ากลิ่นที่ชอบ)
 
วิธีทำ
1.นำข้อ1เทใส่ถังก้นเรียบกวนไปในทางทิศเดียวกันให้เนื้อขาวเนียน
2.นำข้อ4และข้อ6เทสลับกันอย่างละแก้วกวนให้เข้ากัน
3.เมื่อเข้ากันดีแล้วให้นำน้ำเปล่าเทใส่ทีละแล้วจนครบ7ลิตร
4.กวนให้เป็นเนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
5.ทิ้งไว้จนฟองยุบตัวและนำไปใช้ใด้ตามความต้องการ
 
คุณสมบัติ
1.ใช้ซักผ้าได้ทุกชนิด
2.ไม่มีสารตกค้าง
3.รักษาสิ่งแวดล้อม
4.ประหยัดเงินและใช้เวลาวางให้เป็นประโยชน์
หมายเหตุ
1.เวลากวนให้กวนไปในทิศทางเดียวกัน
2.เวลาใส่ส่วนผสมให้ใส่ไปกวนไปจนกว่าจะหมด
3.หากเป็นน้ำยาซักผ้าสามารถใช้หัวน้ำหอมใส่พร้อมกับน้ำ7ลิตรผสมได้ตามใจชอบ
4.อัตรส่วนN701กก.:น้ำเกลือ3ลิตร:น้ำหมัก3ลิตร:น้ำสะอาด7ลิตร
 
 

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


ไผ่ เป็นไม้พุ่มหลายชนิดและหลายสกุลใน วงศ์หญ้า Poaceae (เดิมคือ Gramineae) วงศ์ย่อย Bambusoideae เป็นไม้ไม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้องๆ เช่น ไผ่จีน (Arundinaria suberecta Munro) ไผ่ป่า (Bambusa arundinacea Willd.) ไผ่สีสุก (B. flexuosa Munro และ B. blumeana Schult.) ไผ่ไร่ (Gigantochloa albociliata Munro) ไผ่ดำ (Phyllostachys nigra Munro).
ผลผลิตจากไผ่ที่สำคัญคือ หน่อไม้ ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนไทย นิยมทานกันมากในเกือบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน นอกจากนี้ไม้ไผ่ยังมีคุณสมบัติพิเศษทั้งด้านความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่เหนือกว่าวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด ดังนั้นจึงยังได้รับความนิยมในการทำเครื่องมือเครื่องใช้หลายประเภท ใช้ชะลอน้ำที่เข้าป่าชายเลน นั่งร้านก่อสร้างและบันได เป็นต้น

[แก้] สกุล

ไผ่ทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 90 สกุล และ 1,000 ชนิด. ที่รู้จักกันแพร่หลาย ส่วนใหญ่จะอยู่ในสกุล ต่อไปนี้
  • Arundinaria
  • Bambusa
  • Chimonobambusa
  • Chusquea
  • Dendrocalamus
  • Drepanostachyum
  • Guadua angustifolia
  • Hibanobambusa
  • Indocalamus
  • Otatea
  • Phyllostachys
  • Pleioblastus
  • Pseudosasa
  • Sasa
  • Sasaella
  • Sasamorpha
  • Semiarundinaria
  • Shibataea
  • Sinarundinaria
  • Sinobambusa
  • Thamnocalamus

[แก้] ไผ่ในประเทศไทย

ในประเทศไทยนั้น พบไผ่อยู่ 30 ชนิด ดังนี้[1]

ไผ่ในประเทศไทย
ในประเทศไทยนั้น พบไผ่อยู่ 30 ชนิด ดังนี้[1]

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

มะละกอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


                                                             ที่มา  thaiwebkit.com
      
มะละกอเป็นพืชมหัศจรรย์ ทุกส่วนของมะละกอสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้นมะละกอมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ผลนำไปประกอบอาหารได้หลายชนิดซึ่งอุดมไปด้วย วิตามินเอและสารเบต้าเคโรทีน วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ผม ฟัน เหงือก สารเบต้าแคโรทีนช่วยต้านโรคมะเร็ง ช่วยให้ผิวพรรณสดใสลบริ้วรอยสิวฝ้า ส่วนผลสุกและดิบมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและเหล็ก วิตามินซี ช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคมะเร็ง โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง ช่วยไม่ให้แก่ก่อนวัย แคลเซี่ยม ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ฟอสฟอรัสช่วยสร้างกระดูกและฟัน เหง้าช่วยบารุงเลือดและป้องกันการเป็นโรคโลหิตจาง


    ที่มา horapa.com
          เส้นใยในเนื้อของมะละกอช่วยให้ระบบขับถ่ายทางานได้ดี ไม่ทำให้ท้องผูก ไม่เกิดสิว ทำให้ไม่อ้วน ผิวพรรณสดใสมีเลือดฝาด ทั้งช่วยลดคอเลสเตอรอลอีกด้วย  ผลสุกของมะละกอมีรสหวานอร่อย มีกลิ่นหอม ชวนรับประทาน  รับประทานได้ทั้งที่เป็นผลสด หรือทำเป็นเครื่องดื่ม ทำแยม  ส่วนผลดิบนำไปประกอบอาหารทั้งที่เป็นอาหารคาว  อาหารหวาน และอาหารยอดนิยมได้แก่ส้มตำ  อาหารคาวเช่นนำไปทำเป็นแกงส้ม แกงเผ็ด ผัดใส่ไข่ แกงเหลือง แกงอ่อม แกงป่า ดองเค็ม ต้มเค็ม ต้มหรือนึ่งเป็นผักจิ้มน้าพริก ส่วนอาการหวานที่รู้จักกันดีคือมะละกอแช่อิ่ม รับประทานเป็นขนมหวานหรือใส่เป็นน้าแข็งใสก็ได้ 
                                                          
                                                            ที่มา library.cmu.ac.th  


       
ยางที่ได้จากผลมะละกอดิบยังใช้หมักเนื้อ ช่วยให้เนื้อเปื่อยยุ่ยทุกส่วนของมะละกอมีสรรพคุณทางยาสามารถนำมาใช้ในการป้องกันและบาบัดรักษา โรคได้ ดังเช่นเนื้อของผลสุก ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้กระหาย บารุงกระเพาะ บารุงม้าม..แก้ปวดท้อง และช่วยขับปัสสาวะเนื้อของผลดิบ หากนำไปตากแห้งและบดเป็นผงนาไปรับประทานขณะท้องว่างในตอนเช้า จะช่วยแก้พยาธิตัวตืด พยาธิตัวกลมใบ นาใบสดไปตาหรือย่างไฟ ใช้พอกรักษาแผล หนอง กลาก..เกลื้อน และอาการปวดบวมได้เมล็ด นามาบดเป็นผง ใช้ทาแก้กลาก เกลื้อน และโรคผิวหนัง ราก นำไปต้ม ใช้ดื่มขับปัสสาวะ ขับประจาเดือน ดอก นำไปตากแห้ง ชงเป็นน้ำดื่มขับประจำเดือนแก้ไข้ แก้โรคดีซ่าน ถ้านำไปต้มใส่น้าตาล ดื่มแก้โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจไม่ปกติ  และผลมะละกอดิบเมื่อนำไปปอกเปือกล้างให้สะอาด  หั่นเป็นชิ้นๆ  นำไปต้มรับประทานจิ้มน้ำพริกอร่อยมาก  น้ำที่ต้มนำไปดื่มล้างไขมันในลำไส้เป็นการดีทอกซ์ราคาถูก สามารถลดน้ำหนักได้ดี



มะละกอเป็นพืชท้องถิ่นของ ทวีปอเมริกากลางและใต้ มีหลักฐานว่า...
ชาวพื้นเมืองแคริบเบียน ในเขตชายฝั่ง ประเทศปานามา และโคลัมเบีย
เป็นชนกลุ่มแรกที่ปลูกมะละกอกิน

ซึ่งชาวพื้นเมืองแคริบเบียนจะเรียกมะละกอเป็นภาษาพื้นเมืองว่า...อาบาบัย [ ababai ]
ภายหลังดินแดนแถบนี้ถูกชาวสเปนยึดเป็นอาณานิคมได้ในปี ค.ศ.1526
ชาวสเปนได้เรียกชื่อ อาบาบัย เพี้ยนเป็น ปาปาย่า [ papaya ]
และเป็นที่มาของชื่อปาปาย่า หรือ มะละกอ ในภาษาอังกฤษทุกวันนี้



และจากนั้นมะละกอก็ได้แพร่หลายเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดย...พ่อค้าชาวสเปน & โปรตุเกสนำเข้ามาในราว คริสต์ศตวรรษที่ 16 - 17
และมีการปลูกขยายพันธุ์จนแพร่หลาย ซึ่งสันนิษฐานกันว่า...
ไทยอาจได้พันธุ์ผลไม้ชนิดนี้มาจาก มะละกา [ มาเลเซีย ]จึงเป็นที่มาของคำว่า มะละกอ ในปัจจุบัน

ประโยชน์ของมะละกอ สรรพคุณและการใช้ประโยชน์จากมะละกอ (Papaya)

มะละกอ (Papaya) เป็นผลไม้ไทยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์ของมะละกอมีมากมายไม่ว่าจะนำมาทำเป็นอาหารเช่น แกงส้มมะละกอ ทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรเป็นชามะละกอ หรือแม้แต่นำผลสุกมาปอกกินเล่นก็ยังมีประโยชน์ช่วยให้ขับถ่ายง่ายป้องกันท้องผูก อีกทั้งมะละกอเป็นพืชที่ปลูกง่ายการปลูกมะละกอไม่ต้องการการดูแลมากอาศัยพื้นที่ว่างบริเวณรั้วบ้านก็ใช้เป็นที่ปลูกมะละกอได้แล้วเพียงแต่ต้องคอยระวังอย่าให้มีน้ำท่วมในบริเวณที่ปลูกมะละกอก็พอ ยอมเสียพื้นที่ในการปลูกมะละกอไว้แถวบริเวณบ้านสัก 1-2 ต้นรับรองว่าประโยชน์ของมะละกอที่ได้รับจะคุ้มเกินคุ้มอย่างแน่นอน

มะละกอ (Papaya) เป็นพืชยืนต้น สูงประมาณ 3-4 เมตร ลำต้นตั้งตรง เนื้อลำต้นจะอ่อน ลักษณะผลของมะละกออาจมีรูปร่างทั้งเป็นลูกกลมหรือทรงยาวรีแล้วแต่พันธุ์ของมะละกอ มะละกอที่ยังดิบอยู่เปลือกนอกจะมีสีเขียวพอผลมะละกอสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกส้ม มะละกอเป็นพืชที่ไม่ชอบให้มีน้ำท่วมขังเพราะจะทำให้รากเน่าและตายได้ มะละกอเป็นพืชที่นิยมปลูกในบริเวณรั้วบ้านวิธีการปลูกมะละกอทำได้ง่ายเพราะมะละกอเป็นพืชที่ไม่ต้องการการดูแลมากนักและทนต่อความแห้งแล้งได้ดีพอสมควร หากมีต้นมะละกอในบริเวณบ้านระวังอย่าให้น้ำท่วมก็พอ ประโยชน์ของมะละกอสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วนของต้นเลยทีเดียว

ประโยชน์ของมะละกอ เริ่มจากส่วนที่เป็นใบและยอดของมะละกอนำมาใช้ปรุงอาหารได้ ส่วนของลำต้นมะละกอภายในจะเป็นเนื้อสีขาวครีมลักษณะเนื้อจะอ่อนนุ่มคล้ายกับหัวผักกาดจีนที่เราสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้เหมือนกันจะเป็นการดองเค็มหรือตากแห้งเก็บไว้กินก็ได้ ประโยชน์ของมะละกอเมื่อใช้ปรุงเป็นอาหารจะมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารที่สำคัญหลายอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี (Vitamin A B C) ธาตุเหล็กและแคลเซียม สารอาหารเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น

ประโยชน์ของมะละกอดิบ ผลดิบของมะละกอที่มีเปลือกสีเขียวนั้นภายในจะมียางสีขาวข้นเรียกกันว่ายางมะละกอ สรรพคุณของยางมะละกอใช้หมักเนื้อทำให้เนื้อนุ่มและเร่งให้เปื่อยเร็วขึ้นเมื่อต้มและหากนำยางมะละกอไปสกัดเป็นเอนไซม์ที่มีชื่อว่าปาเปอีน (Papain Enzyme) สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้อีกด้วย  ประโยชน์ของมะละกอดิบยังใช้เป็นยาสมุนไพร (Herb) เป็นยาระบายอ่อนๆช่วยในการขับปัสสาวะหรือจะนำผลมะละกอดิบไปทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรคือ ชามะละกอ ที่มีสรรพคุณในการล้างลำไส้จากคราบไขมันที่เกาะติดอยู่ที่เกิดจากการกินอาหารที่ผัดด้วยน้ำมันเป็นประจำ เมื่อชามะละกอช่วยล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ออกไปแล้วจะทำให้ระบบดูดซึมสารอาหารทำงานได้เต็มที่

ประโยชน์ของมะละกอที่เห็นอยู่ทุกวันคือการนำไปปรุงเป็นอาหารคือ ส้มตำ (Papaya Salad)  ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านทางภาคอีสานและเป็นที่รู้จักกันดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  ส่วนผลมะละกอสุกสามารถปอกกินเป็นผลไม้ได้เลย ประโยชน์ของมะละกอที่เป็นผลสุกคือช่วยบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหารเป็นยาระบายอ่อนๆทำให้ระบบขับถ่ายดีไม่มีอาการท้องผูก ผลมะละกอสุกยังสามารถนำไปทำเป็น น้ำมะละกอ ได้อีกเอนไซม์ปาเปอีน (Papain Enzyme) ที่อยู่ในผลมะละกอจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ประโยชน์ของมะละกอสุกยังมีสารอาหารที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) คือเบต้าแคโรทีนที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอยซึ่งเป็นประโยชน์ของมะละกอในด้านความสวยความงามนั่นเอง

ผลิตภัณฑ์มะละกอ

 
ผลิตภัณฑ์มะละกอ     เนื่องจากมะละกอมีมากในท้องถิ่นจึงนำมาเพิ่มมูลค่า โดยใช้หลักการถนอมอาหาร คือ การใช้ความร้อน การใช้น้ำตาล เพื่อยับยั้ง และฆ่าจุลินทรีย์บางชนิด เพื่อให้อาหารเก็บได้นานขึ้น โดยพัฒนาให้มีความหลากหลายกว่าในท้องตลาด เช่น มะละกอแช่อิ่ม มะละกอหยี ฯลฯ

 










วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่องกล้วยๆที่ควรรู

น่ารัก
ประวัติความเป็นมาของกล้วย
น่ารัก
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า  กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย  พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้  โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย  พม่า  เขมร  จีนตอนใต้  หมู่เกาะอินโดนีเซีย  เกาะบอร์เนียว  ฟิลิปปินส์  และไต้หวัน
กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น  เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ  ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ  กินกล้วยเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู  และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด  หน่อ  ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป  ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ  มากยิ่งขึ้น  จนมีผู้กล่าวว่า  กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์  และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน
ในพระพุทธศาสนา  มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม  ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ
จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า  มีกล้วยอยู่  12  ชนิด  ได้แก่  ปารู  กัน-เชียว  ยาเชียว  ปาเชียว  นันเชียว  เทียนเชียว  ชีเชียว  ชุงเชียว  เมเจนเชียว  โปโชวเชียว  ยังเชียวเชียว  ยูฟูเชียว  กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง  ฟูเกียง  ฯลฯ
กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย  เมื่อประมาณ  ปี  ค.ศ.200  บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย  จนถึง  ค.ศ.650  เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา  พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย
ในราวศตวรรษที่  15  เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ  เพื่อ  การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่  ณ  เวลานั้นปรากฏว่า  แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก  ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย
การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น  เพราะในปี  ค.ศ. 1400  ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย
ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก  หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่
ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า  กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน  และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว  ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม
กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย  ได้แก่  กล้วยไข่ทองร่วง  กล้วยเล็บมือนาง  เป็นต้น
ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์  และสันนิฐานกันว่า  คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้  ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย   ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย  ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว  เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย  พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323  สายพันธุ์

น่ารัก
ประวัติความเป็นมาของกล้วย
น่ารัก
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า  กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย  พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้  โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย  พม่า  เขมร  จีนตอนใต้  หมู่เกาะอินโดนีเซีย  เกาะบอร์เนียว  ฟิลิปปินส์  และไต้หวัน
กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น  เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ  ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ  กินกล้วยเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู  และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด  หน่อ  ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป  ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ  มากยิ่งขึ้น  จนมีผู้กล่าวว่า  กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์  และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน
ในพระพุทธศาสนา  มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม  ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ
จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า  มีกล้วยอยู่  12  ชนิด  ได้แก่  ปารู  กัน-เชียว  ยาเชียว  ปาเชียว  นันเชียว  เทียนเชียว  ชีเชียว  ชุงเชียว  เมเจนเชียว  โปโชวเชียว  ยังเชียวเชียว  ยูฟูเชียว  กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง  ฟูเกียง  ฯลฯ
กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย  เมื่อประมาณ  ปี  ค.ศ.200  บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย  จนถึง  ค.ศ.650  เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา  พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย
ในราวศตวรรษที่  15  เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ  เพื่อ  การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่  ณ  เวลานั้นปรากฏว่า  แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก  ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย
การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น  เพราะในปี  ค.ศ. 1400  ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย
ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก  หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่
ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า  กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน  และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว  ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม
กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย  ได้แก่  กล้วยไข่ทองร่วง  กล้วยเล็บมือนาง  เป็นต้น
ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์  และสันนิฐานกันว่า  คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้  ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย   ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย  ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว  เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย  พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323  สายพันธุ์

ประวัติกล้วย
กล้วยประเทศไทย นั้น เดิมเป็นกล้วยป่าต่อมาได้มีการนำเข้ากล้วยตานี และกล้วยชนิดอื่น ในช่วงที่มีการอพยพของคนำทยในการตั้งถิ่นฐาน
อยู่ที่จังหวัดสุโขทัย มีเอกสารเขียนโดย เดอ ลาลูแบร์ (1963) กล่าวว่า ในสมัยอยุธยาที่เขาได้เดินทางมาเขาพบว่ามีกล้วยร้อยหวี และในปี ค.ศ. 2484 เป็นต้นมา ได้มีการรวบรวมพันธุ์กล้วยไว้บ้างในบางช่วง และสูญหายไป ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รวลรวมพันธุ์ไว้ที่สถานีวิจัยปากช่อง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันการปลูกกล้วยในประเทศไทย จอกจากจะปลูกเพื่อบริโภคในประเทศแล้ว ยังส่งกล้วยหอมทองไปขายยัง ต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกงและยุโรป แต่ปริมาณการส่งออกลดลงทุกปี ๆ เพราะคุณภาพของกล้วยหอมทองไม่เหมาะในการส่งออกต่างประเทศเนื่อง จากสุกง่ายและเปลือกบาง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำได้ทำการศึกษาถึงสายพันธุ์กล้วยซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศพบว่า ประเทศไทยสามารถ ปลูกกล้วยหอมคาเวนดิชได้ดี


 ชื่อวิทยาศาสตร์

 Musa sp.

 ชื่ออื่น ๆ
 ¡กล้วยไข่ , กล้วยใต้ , กล้วยส้ม กล้วยหอม , กล้วยนาก ,กล้วยน้ำว้า , กล้วยเล็บมือนาง , กล้วยหอมจันทร์ , กล้วยหักมุก , กล้วยมณีอ่อง

จำแนก
 
ประเภทใบ และ ประเภทลูก
 

น่ารัก
ประวัติความเป็นมาของกล้วย
น่ารัก
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า  กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย  พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้  โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย  พม่า  เขมร  จีนตอนใต้  หมู่เกาะอินโดนีเซีย  เกาะบอร์เนียว  ฟิลิปปินส์  และไต้หวัน
กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น  เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ  ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ  กินกล้วยเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู  และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด  หน่อ  ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป  ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ  มากยิ่งขึ้น  จนมีผู้กล่าวว่า  กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์  และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน
ในพระพุทธศาสนา  มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม  ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ
จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า  มีกล้วยอยู่  12  ชนิด  ได้แก่  ปารู  กัน-เชียว  ยาเชียว  ปาเชียว  นันเชียว  เทียนเชียว  ชีเชียว  ชุงเชียว  เมเจนเชียว  โปโชวเชียว  ยังเชียวเชียว  ยูฟูเชียว  กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง  ฟูเกียง  ฯลฯ
กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย  เมื่อประมาณ  ปี  ค.ศ.200  บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย  จนถึง  ค.ศ.650  เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา  พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย
ในราวศตวรรษที่  15  เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ  เพื่อ  การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่  ณ  เวลานั้นปรากฏว่า  แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก  ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย
การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น  เพราะในปี  ค.ศ. 1400  ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย
ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก  หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่
ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทยในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า  กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน  และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว  ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม
กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย  ได้แก่  กล้วยไข่ทองร่วง  กล้วยเล็บมือนาง  เป็นต้น
ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์  และสันนิฐานกันว่า  คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้  ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย   ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย  ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว  เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย  พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323  สายพันธุ์



กล้วยอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที

         ประโยชน์ของกล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรคเลยค่ะ ส่วนจะช่วยป้องกันโรคใดได้บ้างนั้นราไปหาข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้



          1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง



          2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก



          3. กำลังสมอง มีงานวิจัยในกลุ่มนักเรียน 200 คน โรงเรียน Twickenham พบว่ากินกล้วยมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา  ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปี ด้วยการจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น



          4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย



          5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น Rerotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง



          6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา



          7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้



          8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า



          9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้



          10. ระบบประสาท วิธีควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้



          11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย



          12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น



          13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี



          14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็วอันเป็นผล จากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง



          15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิด ความสมดุล



          16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%



          17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้



 กล้วยดีมีประโยชน์
          เป็นไม้ผลนำมาบริโภค ใบนำมาห่อขนม หรือส่วนของลำต้น ใบนำมาทำกระทง ก้านนำมาประดิษฐ์เป็นของเล่น ประโยชน์ทางสมุนไพร ยางกล้วยจากใบใช้ห้ามเลือด โดยหยดยางลงบนแผล ใช้กล้วยดิบทั้งลูกบดกับน้ำให้ละเอียด และใส่น้ำตาล รับประทาน แก้โรคท้องเสีย แผลในกระเพาะอาหารไม่ย่อย ผลสุกให้เป็นอาหารเป็นยาระบายที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร อุจาจาระแข็ง หัวปลี แก้โรคลำไส้ แก้โรคโลหิตจาง และลดน้ำตาลในเลือด

dumbbell_02.jpg  พลังงาน    dumbbell_02.jpg
      ้าต้องการให้ระดับพลังงาน ที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่า กล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวันกล้วยนอกจากเป็นอาหารเพิ่มพลังแล้ว ยังเป็นอาหารลดน้ำหนัก เหมาะสำหรับรักษาหุ่น กล้วยช่วยเพิ่มพลังงาน หนักท้อง และให้แคลอรีสูง กล้วยน้ำว้าลูกโตหนึ่งผลมี 100 แคลอรี แถมยังมีวิตามินเอ และวิตามินซีมาก
           
นอกจากนี้ยังพบว่ากล้วยช่วยเพิ่มโปแตสเซียม ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับนักกีฬา หรือผู้ที่เสียเหงื่อมาก โซเดียมและโปตัสเซียมช่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย ซึ่งกำหนดสมดุลของเหลวในร่างกาย ซึ่งกำหนดสมดุลของการเคลื่อนไหวอีกทอดหนึ่ง นักกีฬาต้องการพลังงานมากในระหว่างการแข่งขัน อีกทั้งยังต้องการความแม่นยำเที่ยงตรงในการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างประสานสอดคล้องกัน จึงไม่แปลกใจเลยที่กล้วยเป็นผลไม้ในดวงในของนักกีฬา แต่ไม่เป็นนักกีฬาก็กินกล้วยได้ ยามใดที่ท่านรู้สึกเหนื่อย หมดแรง กินกล้วยสักลูกสองลูกช่วยได้แน่ ๆ หรือในยามปกติช่วงหยุดพักจากทำงาน จะดื่มน้ำชากาแฟกับกล้วยได้ หากกินกล้วยสุกบ่อย ๆ แล้วเบื่อ จะพลิกแพลงกินกล้วยปิ้งบ้างก็ยังได้ แม้แต่เปลือกกล้วยหอมที่เรามักคิดว่าเป็นส่วนที่ไม่มีประโยชน์แล้วนั้นก็ยังสามารถนำมาถูมือให้ทั่วเพื่อป้องกันผื่นแดง หรือมือลอกเป็นขุยในช่วงหน้าหนาว

 drink_03.jpg  บำบัด
          ยังเชื่อกันว่ากินกล้วยแช่น้ำผึ้งทุกวันจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง และเป็นยาอายุวัฒนะด้วยแทบทุกส่วนของกล้วยนอกจากจะนำมาทำอาหารได้ทั้งคาวหวานแล้ว ส่วนต่าง ๆ ของกล้วยยังจัดเป็นพืชสนมุนไพรอีกด้วยอันถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญ เช่น น้ำกาบกล้วยใช้แก้โรคผมร่วงหัวล้าน ราก กาบ และใบ ช่วยลดใข้ บรรเทาอาการปวดหัว ปวดแผลไฟไหม้ น้ำรั้อนลวด ปลีช่วยบำรุงน้ำนมมารดา และรักษาโรคโลหิตจาง ก้านกล้วยใช้ห้ามเลือด เปลือกกล้วยใช้ทาแก้แมลงกัดและผื่นคัน ผลกล้วยที่สุกงอมช่วยแก้ท้องผูก กล้วยดิบช่วยแก้ท้องเสีย ฯลฯกล้วยเป็นยาที่นิยมใช้กับโรคกระเพาะ โรคลำไส้ ทั้งกล้วยดิบและกล้วยสุกได้ถูกนำมาใช้แก้อาการผิดปกติของทางเดินอาหารกล้วยมุกหรือกล้วยน้ำว้าดิบ นำมาหั่นชิ้นบางตากให้แห้งบดเป็นยาผสมน้ำผึ้ง ใช้กินแก้อาการของโรคกระเพาะได้ บางคนบอกว่า กินกล้วยน้ำว้าสุกก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง จะช่วยรักษาโรคกระเพาะ และลดแก๊สในกระเพาะได้อาการท้องผูกก็แก้ด้วยกล้วยได้ กล้วยสุกมีสารเพ็คติน (pactin) ซึ่งเป็นยาสมานช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ เวลาเลือกกินกล้วยเพื่อแก้ท้องผูกนั้น ควรเลือกกล้วยที่สุกเหลืองทั้งผล เพราะจะมีสารเพ็คตินมาก จะช่วยเพิ่มกากอาหารให้ลำไส้ กากอาหารเมื่อมีมากขึ้นไปดันผนังลำไส้ ผนังลำไส้เมื่อไล่กากอาหารมากขึ้นจะทำงานโดยบีบตัวไล่กากอาหารออกมา ทำให้เรารู้สึกปวดถ่าย แต่ถ้าเรากินกล้วยที่ยังสุกไม่ทั่วผล หรือยังมีบางส่วนที่เขียวอยู่จะมีสารเพ็คตินน้อย แต่จะมีสารฝาดประเภทแทนนินอยู่มาก ถ้าเลือกกล้วยลักษณะเช่นนี้รับประทานแทนที่จะถ่ายกลับจะท้องผูกไปอีก

ประเภทของกล้วย
             หากสามารถรวบรวมพันธุ์กล้วยทั่วโลกมาปลูกไว้ในที่เดียวกันสวนกล้วยแปลงนั้นคงต้องใช้เนื้อที่มาก เพราะกล้วยมีสายพันธุ์หลายร้อยพันธุ์ เฉพาะในประเทศไทยก็มีถึง 323 สายพันธ์ ทดลองปลูกได้แล้ว 59 สายพันธุ์ ทั้งที่เป็นกล้วยป่า  กล้วยในท้องถิ่น  พันธุ์ที่นำมาจากต่างประเทศ  พันธุ์กล้วยที่รู้จักกันทั่วไปมีมากมาย
เช่น       กล้วยป่า 
            กล้วยตานี ผลใหญ่มีเมล็ดมาก 
            กล้วยน้ำไทหรือกล้วยหอมเล็ก            
            กล้วยไข่ในประเทศไทยนิยมปลูกมากที่จังหวัดกำแพงเพชร จึงมีคนเรียกว่ากล้วยไข่กำแพงเพชร 
            กล้วยหอมจันทร์                              
            กล้วยนมสาว  พบทางภาคใต้
            กล้วยร้อยหวี  มีผลมาก ผลขนาดเล็ก
            กล้วยหอมทองผลใหญ่
            กล้วยหอมใต้หวัน  มีผลดกกว่ากล้วยหอมทอง
            กล้วยหอมเขียวค่อม  ผลสุกโดยธรรมชาติจะมีสีเขียว  แต่ถ้าบ่มถูกวิธีก็จะมีสีเหลือง
            กล้วยนากมีผลใหญ่
            กล้วยน้ำ
            กล้วยขม
            กล้วยน้ำว้า  ถ้าแบ่งตามไส้จะมี 3 ชนิด  คือ ชนิดไส้ตรง   ชนิดไส้เหลือง  และชนิดไส้แดง
            กล้วยหักมุก  ลักษณะผลเป็นเหลี่ยมชัดเจน  เปลือกหนา 
            กล้วยส้ม  ลักษณะคล้ายกล้วยหัวมุก  แต่ผลเล็กกว่า
            กล้วยนิ้วมือนาง  ผลค่อนข้างใหญ่  ลักษณะอ้วนป้อม
            กล้วยหิน  มีมากทางภาคใต้  มีผลดกคล้ายกล้วยตานี
            กล้วยเปรี้ยว  มีรสค่อนข้างเปรี้ยว
            กล้วยแพ  ลักษณะใบแผ่ออกไปคล้ายพัด
            กล้วยบัว  ลักษณะหัวปลีคล้ายดอกบัว ต้นขนาดเล็ก  มักใช้เป็นไม้ประดับ

วิธีปลูก รักษา ดูแล
        กล้วยปลูกได้ง่าย มีทั้งแบบยกร่อง และปลูกบนพื้นที่ราบ ขุดหลุมกว้าง ยาว ลึกประมาณด้านละ 2 ฟุต  แต่ละหลุมห่างกัน 5 เมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักผสมดินปากหลุม ทิ้งไว้ประมาณ 5 วันก่อนปลูก          พันธุ์กล้วยก็เลือกใช้พันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศแต่ละท้องถิ่นเพราะกล้วยบางชนิด อาจจะเติบโตได้ดีเฉพาะในบางท้องถิ่น การปลูกอาจจะเลือกปลูกโดยวิธีต่าง ๆ เช่น

                                                          การปลูกด้วยหน่อ
  การปลูกด้วยหน่อ   ที่ขุดแยกออกมาจากต้นแม่ ควรเลือกหน่อที่สมบูรณ์ แต่ยังไม่สูงนักเลือกหน่อ กล้วยที่ใบเล็ก ๆ เรียว ที่เรียกว่าหน่อใบดาบ ซึ่งจะสูงประมาณ 2-3 ฟุต เพราะถ้าใช้หน่อที่โตเกินไป อาจจะทำให้กล้วยชะงักการเจริญเติบโตได้ การปลูกกล้วยด้วยหน่อนั้นถ้าต้องการให้กล้วยออกเครือในทิศทางเดียวกัน ก็ให้ปลูกโดยหันรอยแผลของหน่อไว้ในทิศทางเดียวกันกล้วยก็จะออกใน ทิศทางตรงกันข้ามกับรอยแผลเหมือนกันหมดซึ่งจะสะดวกต่อการตัดเครือ ในภายหลัง         

การปลูกด้วยเมล็ด วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมกันมากนักเหมาะกับกล้วย บางชนิดเท่านั้นอาจใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เคยทำกันมาแต่ก่อน ด้วยการเพาะเมล็ดพันธุ์ในกระทงใบกล้วย กระบอกไม้ไผ่ หรือเพาะบนแปลงทดลองหลังจากต้นอ่อนเติบโตสูงได้ประมาณ 1 ฟุต ก็แยกลงหลุมปลูกต่อไป

   การปลูกโดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งจะเป็นที่นิยม กันมากในอนาคต เพราะสามารถขยายพันธุ์กล้วยได้เป็นจำนวนมาก ได้กล้วยพันธุ์แท้ และคุณภาพดี เราอาจจะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทดลองการเพาะเนื้อเยื่อตามกระบวนการหรือติดต่อขอซื้อต้นพันธุ์ จากหน่วยงานทางการเกษตรที่เพาะเนื้อเยื่อมาปลูกได้ 

   
กล้วยกับเศรษฐกิจไทย
       กล้วยเป็นพืชที่ขึ้นง่ายโตเร็วดูแลรักษาไม่ยากนักแต่ประโยชนที่ได้รับจากทุกส่วนของกล้วย ล้วนมีคุณค่ามหาศาล จึงน่าจะเป็นพืชชนิดหนึ่งที่คนไทยทุกคนควรหันมาจับตามองและให้ความสำคัญ อย่างจริงจังไม่เพียงแต่ปลูกกล้วยไว้เป็นอาหาร เพื่อเป็นร่มเงาหรือปล่อยให้แตกหน่ออย่างตามมีตามเกิด เท่านั้นแต่น่าจะมองในแง่คุณค่าทางเศรษฐกิจที่จะช่วยพัฒนาชีวิตของครอบครัว ชุมชนและประเทศชาติ โดยส่วนรวม
       ตัวอย่างต่อไปนี้อาจเป็นแนวคิดที่จะสร้างเศรษฐกิจจาก  "  กล้วย  "ได้บ้าง           ปลูกกล้วยเป็นพืชหลักอย่างหนึ่งในการทำเกษตรกรรมแบบไร่นาสวนผสมสำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่ ไม่มากนักเช่น  ขุดบ่อเลี้ยงปลา  เลี้ยงไก่ ขุดคันร่องรอบพื้นที่ที่บนคันร่องปลูกกล้วยสลับกับพืชเศรษฐกิจ อื่น ๆ ที่สามารถหมุนเวียนเก็บขายเป็นรายได้ตลอดปี
       ปลูกกล้วยเป็นพืชเป็นพืชแซมพืชชนิดอื่น  ที่มีอายุยาวนานกว่าเช่น  มะม่วง  ทุเรียน  เงาะ  ลิ้นจี่  ลางสาด  ลำใย ฯลฯ  เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่พืชชนิดอื่นและสามารถนำมาจำหน่ายหรือแปรรูป ออกมาจำหน่ายในระหว่างที่พืชอื่นยังไม่ถึงเวลาออกลูกออกผล
        ปลูกกล้วยชนิดเดียวเพื่อเน้นการจำหน่ายผลและผลผลิตจากกล้วย  เช่น 
  •   การปลูกกล้วยไข่  ในจังหวัดกำแพงเพชร
  •   การปลูกกล้วยหอม  เพื่อการส่งออกในบางจังหวัด เช่น  พระนครศรีอยุธยา  อ่างทอง  เป็นต้น
  •   การปลูกกล้วยชนิดต่าง ๆ เพื่อการจำหน่ายและการอุตสาหกรรม เช่น ในจังหวัดเพชรบุรี
       ปลูกกล้วยในบริเวณบ้านเพื่อให้ร่มเงา บรรยากาศสดชื่นหรือปลูกไว้รับประทานหรือจำหน่าย ปลูกกล้วยเป็นไม้ประดับเช่น  การปลูกกล้วยกระถาง  ปลูกกล้วยบอนไซ ปลูกกล้วยเป็นอาชีพอิสระ เพื่อการมีรายได้ระหว่างเรียนของนักเรียนโดยใช้พื้นที่ใน  การปลูกทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน คนไทยเราส่วนใหญ่มักจะคิดว่าข้าวเท่านั้นที่เป็นอาหารหลักทั้งๆ ที่มีอาหารอื่นทั้งที่หาได้ไม่ยาก และมีคุณค่าทางอาหารมากมายไม่แพ้ข้าว เช่น กล้วยเป็นต้นซึ่งนอกจากจะเป็นอาหารแล้วยังให้ ประโยชน์ด้านอื่นอีกมากมาย เราได้แต่ฝันว่า       สักวันหนึ่งคนไทยจะหันมาให้ความสำคัญกับกล้วยมากกว่านี้และเมื่อนั้นกล้วยจะกลายเป็น พืชเศรษฐกิจอันดับต้น ๆของไทยทีเดียว